กฎหมายลักษณะทรัพย์
ทรัพย์ หมายถึง วัตถุมีรูปร่าง ซึ่งได้แก่สิ่งซึ่งมองเห็นได้ด้วยตา จับต้องสัมผัสได้ [1] เช่น สมุด ปากกา โต๊ะ วัว รถยนต์ เป็นต้น
ทรัพย์สิน หมายถึง วัตถุมีรูปร่างและวัตถุไม่มีรูปร่าง ซึ่งอาจมีค่าและอาจถือเอาได้
สังเกต คำว่า “ทรัพย์สิน” มีความหมายกว้างกว่าคำว่า “ทรัพย์”
สรุปทรัพย์สิน มีลักษณะสำคัญดังนี้
1.เป็นวัตถุมีรูปร่าง(คือทรัพย์)หรือเป็นวัตถุไม่มีรูปร่างก็ได้(เช่น ลิขสิทธิ์ หุ้น เช็ค โฉนด->เป็นสิ่งแสดงกรรมสิทธิ์
ไม่ได้หมายถึงใบกระดาษ)
2.มีราคา คือสิ่งนั้นมีมูลค่าในตัวของมันเอง ไม่จำเป็นต้องมีราคาที่ซื้อขายในท้องตลาด[2] เช่นจดหมายคนรักที่ติดต่อกัน แสตมป์ที่ใช้แล้ว แต่ผู้ใช้สะสมเอาไว้ ก้อนหินที่ระลึกจากยอดเขาเอเวอเรสต์ เป็นต้น
3.ถือเอาได้ คือ สามารถเข้าครอบครองหรือมีกรรมสิทธิ์ เป็นเจ้าของได้(พระจันทร์ ดาว จึงไม่ใช่ทรัพย์สิน)
ทรัพย์ตามกฎหมาย จำแนกเป็น 2 ประเภท
1.อสังหาริมทรัพย์ หมายถึง ที่ดินและทรัพย์อันติดอยู่กับที่ดิน มีลักษณะเป็นการถาวร ประกอบเป็นอันเดียวกับที่ดิน อีกทั้งยังหมายความรวมถึงทรัพยสิทธิเกี่ยวกับที่ดินด้วย
-ที่ดิน หมายถึง พื้นแผ่นดิน
-ทรัพย์(วัตถุอันมีรูปร่าง) ซึ่งติดอยู่กับที่ดินมีลักษณะเป็นการถาวร เช่น ตึก ต้นไม้ยืนต้น อนุสาวรีย์
-สิทธิเหนือที่ดินและทรัพย์ดังกล่าว ได้แก่ กรรมสิทธิ์ สิทธิครอบครอง สิทธิเก็บกิน ->เหล่านี้เป็นทรัพยสิทธิ
2.สังหาริมทรัพย์ หมายถึง ทรัพย์อื่นที่นอกจากอสังหาริมทรัพย์และบรรดาสิทธิทั้งหลายที่เกี่ยวกับสังหาริมทรัพย์ เช่น สิทธิจำนำ สิทธิยึดหน่วง(เช่น นาย ก.เอารถยนต์ไปซ่อมที่อู่ แต่ไม่ยอมเอาเงินไปจ่ายเสียที ดังนี้ ทางอู่มีสิทธิยึดหน่วงรถไม่คืนนาย ก.ได้) ตัวอย่างของ สังหาริมทรัพย์(ทรัพย์ซึ่งนำเคลื่อนที่ไปได้) เช่น ดินสอ โต๊ะ เก้าอี้
3.สังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษ คือ กฎหมายได้ถือว่าเป็นสังหาริมทรัพย์ แต่มีบทพิเศษในส่วนของทรัพย์จำพวกนี้ ได้แก่(ให้จำไว้เลย เพราะมีไม่กี่อย่างเท่านั้น) เรือนแพ(ที่ใช้อยู่อาศัย) สัตว์พาหนะ(ที่ตรารูปพรรณสัณฐานแล้ว) เรือระวางตั้งแต่ 5 ตันขึ้นไป เรือกลไป เรือกำปั่น[3]
ทรัพย์ ยังแบ่งเป็น ทรัพย์ในพาณิชย์ และ ทรัพย์นอกพาณิชย์
-ทรัพย์ในพาณิชย์ คือ ทรัพย์ที่ถือเอาได้ และโอนกันได้โดยชอบด้วยกฎหมาย
-ทรัพย์นอกพาณิชย์ คือ ทรัพย์ที่ไม่อาจถือเอาได้(ก้อนเมฆ ดวงอาทิตย์) หรือ
ทรัพย์ที่ไม่อาจโอนกันได้โดยชอบด้วยกฎหมาย เช่น ยาเสพติด ที่ดินธรณีสงฆ์
(หากจะโอนที่สาธารณะสมบัติต้องอาศัยอำนาจจากพระราชกฤษฎีกาหรือศักดิ์สูงกว่า)
*ดอกผล คือ ประโยชน์ที่ได้งอกเงยจากทรัพย์สิ่งใดสิ่งหนึ่ง(ทรัพย์แม่) ดอกผลของทรัพย์ มี 2 ประเภท ได้แก่
-ดอกผลธรรมดา เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติโดยหลุดออกจากทรัพย์แม่ เช่น ผลไม้ น้ำนม ไข่ไก่ ขนสัตว์
-ดอกผลนิตินัย เป็นดอกผลในทางกฎหมาย คือ 1.เป็นทรัพย์หรือการได้รับประโยชน์
2.เจ้าของทรัพย์แม่ได้รับจากผู้อื่น
3.ผู้อื่นให้ทรัพย์หรือประโยชน์นั้นแก่เจ้าของทรัพย์แม่
เพื่อเป็นการตอบแทน ที่ได้ใช้ทรัพย์ของเจ้าของทรัพย์แม่นั้น
ดอกผลนิตินัย ได้แก่ ดอกเบี้ย กำไร ค่าเช่า ค่าปันผล เป็นต้น
การได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์
-กรณีโดยทั่วไป เช่น มีการงอกของที่ดินบริเวณชายตลิ่ง(ส่วนที่งอกออกมาย่อมเป็นกรรสิทธิ์ของเจ้าของที่ดินแม่ด้วย) การซื้อขายโดยปกติ กรรมสิทธิ์จะโอนทันที่เมื่อเกิดสัญญา(คำเสนอ-สนองตรงกัน) แต่ถ้ายังไม่กำหนดทรัพย์สินที่ซื้อขายไว้แน่นอน(โดยการชั่ง ตวง วัด)กรรมสิทธิ์ก็ยังไม่โอน จะโอนตราบเมื่อได้แยกไว้เป็นทรัพย์เฉพาะสิ่งแล้ว
ตัวอย่าง ซื้อข้าวสาร70กระสอบ จากจำนวนหลายกระสอบ แม้จะยังไม่ชำระราคา แต่ผู้ขายก็ได้จ้างคนขนส่งข้าวขึ้นรถบรรทุกไปส่งแก่ผู้ซื้อ อังขณะที่รถขนส่งข้าวสารไปให้ผู้ซื้อ ข้าวสารตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ซื้อแล้ว[4] หากระหว่างทางรถที่ขนส่งถูกฟ้าผ่า ข้าวสารลุกไหม้ เช่นนี้ ผู้ซื้อต้องจ่ายเงินค่าข้าวสาร เพราะกรรมสิทธิ์โอนไปยังผู้ซื้อแล้ว
-กรณีพิเศษ คือ ได้โดยผลทางกฎหมาย เช่น กรณีครอบครองปรปักษ์
ถาม การครอบครองปรปักษ์ คือ อะไร?
ตอบ การครอบครองปรปักษ์ คือ การครอบครองโดยเจตนายึดถือเป็นเจ้าของ โดยสงบ(ไม่ถูกเจ้าของที่แท้จริงขับไล่) และเปิดเผย(ไม่มีการปิดบังซ่อนเร้น) ทั้งผู้ครอบครองปรปักษ์อาจเป็นธรรมดาหรือนิติบุคคลก็ได้
ระยะเวลาในการครอบครองปรปักษ์ เพื่ออ้างต่อศาลในการให้ได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์
-กรณีเป็นสังหาริมทรัพย์ 5 ปี
-กรณีเป็นอสังหาริมทรัพย์ 10 ปี
ที่มา:planet.kapook.com/conscience/blog/viewnew/89112
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น